
เรื่องเล่า

เตาเผา
เดิม นายอุทัย บุญดำ (พ่อเล็ก) และ นางอุษาวดี บุญดำ (แม่สร้อย) ประกอบอาชีพรับซื้อไม้ ไม้เกรดดีจะส่งไปกรุงเทพฯ ด้วยรถ 6 ล้อ ปลายไม้จะส่งให้คนก่อสร้างสะพาน ส่วนตอไม้ กิ่งไม้ จะนำมาเผาถ่าน โดยได้เช่า เตาเผาถ่าน 2 เตา ใช้ระยะเวลาในการเผาถ่านปริมาน 12 รถ 6 ล้อ เป็นเวลา 12 วัน ได้ปริมาณถ่าน 280-300 กระสอบปาน หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี พ่อเล็กแม่สร้อย ได้ซื้อที่ดินที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ ศูนย์การเรียนรู้เครือข่ายสินธุ์แพรทอง
ในปี 2545 พ่อเล็ก ก็เลิกอาชีพทำไม้ เนื่องเพราะในช่วงเวลาเดียวกันกับการจัดตั้งกลุ่ม จึงมีผู้คนไปมาหาสู่มากขึ้น บ้านที่ใช้เป็นสถานที่รับรองไม่อำนวย มีควันไฟจากการเผาถ่าน เมื่อเลิกเผาถ่านแล้ว รถ 6 ล้อขนไม้ ก็เปลี่ยนเป็นรถไว้รับส่งแขก ส่วนเตาเผาถ่าน 2 เตา พ่อเล็กอยากเก็บไว้รำลึกนึกถึง เพราะอาชีพและรายได้ส่วนหนึ่งของชีวิตมาจากเตาถ่าน 2 เตานี้ จึงไม่ได้ทุบทิ้ง แต่ปรับปรุงใช้เป็นที่พัก ไว้รับรองผู้มาเยี่ยมเยือน ในปี 2549 เมื่อปรับปรุง เตาเผาถ่าน เป็นห้องพักเสร็จแล้ว มีปัญหาเรื่องเสียงก้อง จึงได้หาวิธีแก้ไขโดยนำเฟอร์นิเจอร์ไม้มาไว้ในห้องพักเพื่อลดการเสียงก้อง
ปี 2550 ได้มีแขกกลุ่มแรกเข้ามาพัก ห้องพักเตาเผาถ่าน และได้ใช้งานให้บริการเรื่อยมากว่า 10 ปี
ปัจจุบัน ห้องพักเตาเผาถ่าน มีอายุนานหลายสิบปี เริ่มทรุดโทรม เกิดกลิ่นอับ จึงได้ปิดห้องพักไป 1 ห้อง เหลือไว้เพียง 1 ห้อง เพราะยังมีผู้คนที่มาเยี่ยมเยือนอยากสัมผัสการนอนในเตาเผาถ่านอยู่เสมอ ๆ
สินธุ์แพรทองฟาร์มช๊อป
เป็นสถานที่รวบรวมและกระจายสินค้าก่อนจะเปิดบริการ Farm Shop ได้มีการส่งสโลแกนประกวดเพื่อสื่อความหมายให้ตรงกับชื่อ จึงได้สโลแกน คือ ลำสินธุ์ก้าวไกล ห่วงใยสุขภาพ
สินธุ์แพรทอง Farm Shop เปิดบริการในวันที่ 4 ธันวาคม 2558 เริ่มจากการผลิตภัณฑ์ของฝากมาขาย และต่อมาได้คัดเลือกสินค้าคุณภาพที่กลุ่มลูกค้าไม่สามารถเดินทางไปซื้อได้ด้วยตัวเอง เพื่อเป็นตัวเลือกให้ลูกค้ามาวางจำหน่ายไว้ที่สินธุ์แพรทอง Farm Shop โดยจะไม่เน้นปริมาณเยอะ แต่จะเน้นตามยอดซื้อสินค้าที่ลูกค้าซื้อ
สินธุ์แพรทอง Farm Shop เป็นโครงการเล็ก ๆ ทำเพื่อการแบ่งปันและเจ้าของผลิตภัณฑ์สามารถนำคำติชมมาพัฒนาต่อยอดต่อไปได้


โซล่าเซลล์ พลังงานทางเลือก
เครือข่ายสินธุ์แพรทอง มีแนวคิดจะลดภาระรายจ่ายการใช้ไฟฟ้า เมื่อปี 2556 จึงเริ่มดำเนินการนำพลังงานทางเลือกมาใช้ โดยมี บริษัท การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ให้ความสนับสนุนด้านเงินทุน และ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุงสนับสนุนองค์ความรู้ จนชาวบ้านในเครือข่ายฯ สามารถ ออกแบบ ผลิตได้ ใช้เป็น ซ่อมแซมได้เอง มีทั้งระบบที่ใช้สูบน้ำในไร่นา ระบบไฟฟ้าส่องสว่าง ระบบบ้านประหยัดพลังงานระบบรถเข็นเคลื่อนย้ายไปทำงานในที่ทุรกันดาร
เริ่มต้นมีการนำร่องติดตั้งระบบไฟฟ้าเพื่อใช้ในครัวเรือน 14 แผง ขนาด 3,300 วัตต์ โดยติดตั้งแผงโซล่าเซลล์บนหลังคา เป็นระบบเชื่อมสายส่ง คือ เมื่อไม่สามารถใช้ไฟฟ้าจากแผงโซล่าเซลล์ได้ก็จะดึงไฟฟ้าจาก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มาใช้แทน โดยเริ่มใช้งานที่ศูนย์เรียนรู้ฯ ก็สามารถใช้ไฟฟ้าในอาคารต่าง ๆ รวมถึงห้องประชุมได้อย่างทั่วถึง
ก่อนหน้านี้จ่ายค่าไฟเดือนละ 5,000 บาท แต่เมื่อติดตั้งโซล่าเซลล์ ใช้พลังงานทางเลือก ทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงไปกว่า 3,000 บาทต่อเดือน ทำให้สามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้มาก
และจากการที่ทางศูนย์เรียนรู้ฯ ประสบความสำเร็จ จึงได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่ชุมชนต่าง ๆ และเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับบุคคลอื่นที่สนใจ
ห้องสื่อ ศูนย์การเรียน-รู้-เล่น โดย กสทช.
เริ่มแรกเป็นห้องโล่ง ๆ สร้างไว้สำหรับทำผลิตภัณฑ์ผลไม้กรอบสูญญากาศ แต่ไม่มีการใช้งาน จนกระทั่งเจ้าหน้าที่จาก สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เดินทางมา จ.พัทลุง เพื่อจัดหาโรงเรียนที่จะสร้างศูนย์การเรียน-รู้-เล่น ได้เข้าพักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง แต่ที่รีสอร์ทแห่งนั้นไม่มีบริการ Wi-Fi เมื่อคณะของเจ้าหน้าที่ กสทช. ได้เดินทางมายัง ศูนย์เรียนรู้เครือข่ายสินธุ์แพรทอง จึงได้ขอความอนุเคราะห์เรื่องที่พักแก่เจ้าหน้าที่กสทช.เพราะเห็นว่าที่ศูนย์ฯ มีทั้งที่พัก Wi-Fi ไปจนถึงอาหารให้บริการฟรีทางเครือข่ายฯก็ได้ให้การต้อนรับและดูแลเป็นอย่างดี
หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่จาก กสทช. ได้ติดต่อกลับมา เพื่อเสนอสร้างศูนย์การเรียน-รู้-เล่น ให้แก่ เครือข่ายสินธุ์แพรทอง เนื่องจากเป็นองค์กรชุมชน และมีสถานที่ที่สามารถให้ความรู้ในชุมชนได้
งบประมาณในการสร้างศูนย์การเรียน-รู้-เล่น ประมาณ 300,000 บาท มีคอมพิวเตอร์ 11 เครื่อง นอกจากนี้ทาง กสทช. ยังให้การดูแลบำรุงรักษา ชำระค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์ มูลค่า 12,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 3 ปี
ศูนย์การเรียน-รู้-เล่น โดย สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.). ที่ ศูนย์เรียนรู้เครือข่ายสินธุ์แพรทอง เปิดให้บริการแก่ทุกคนในชุมชนได้เข้ามาหาความรู้ และใช้ทำงานได้ตลอดเวลาทำการ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ คอยดูแลอยู่ตลอด


โต๊ะไม้
“โต๊ะ” ทั้งหมดที่มีภายในศูนย์การเรียนรู้ฯ เริ่มมาจากที่เจ้าของบ้าน อุทัย บุญดำ (พ่อเล็ก) และ อุษาวดี บุญดำ (แม่สร้อย) เป็นคนที่ชื่นชอบ “ไม้” สะสมไม้มากว่า 10 ปี ไม้ที่สะสมได้มาจากการเดินทางท่องเที่ยว เจอไม้โค่น ล้มขอนนอนไพร ไม้ที่คนนำมาขาย ก็จะเก็บหรือซื้อมา มีทั้งไม้ยาง ไม้เทียม ไม้หลุมพอ ไม้ทำเสา จากนั้นได้นำไม้ที่สะสมมาทั้งหมด เป็นวัสดุในการสร้างศูนย์การเรียนรู้ฯ ในขณะนั้นมีแรงงานผู้ลงมือสร้างเพียง 3 คนเท่านั้น
ในตอนแรกที่ตรงนี่เคยเป็นร้านกาแฟที่มีโต๊ะไม้ที่ยาวที่สุดในพัทลุงเลยก็ว่าได้
โต๊ะไม้ชุดแรก ได้มาจาก เมื่อครั้งหนึ่งมีคนขนไม้ผ่านมาหน้าบ้านแล้วถามว่า จะเอาโต๊ะไม้ไหม พ่อเล็ก และ แม่สร้อย ซึ่งชอบไม้อยู่แล้วก็เลยรับซื้อไว้
โต๊ะไม้ชุดที่ 2 ได้มาจากความสัมพันธ์ที่น่าประทับใจจากแขกผู้ที่มาเข้าอบรมที่ศูนย์การเรียนรู้ฯ เวลานั้นการอบรมมีระยะเวลา 5 วัน 4 คืน มีสตรีผู้เข้าร่วมท่านหนึ่งเป็นมุสลิม ชื่อ ก๊ะส้อ ซึ่งเพิ่งจะกลับมาจากเมืองมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย แต่งตัวมิดชิด ปิดหน้า ปิดตา ทำให้ผู้เข้าร่วมอบรมท่านอื่น ๆ ไม่กล้าเข้าหา
แม่สร้อย ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ก๊ะส้อ จึงรู้ว่าก๊ะส้อ มีลูก 9 คน อายุ 49 ปี เท่ากันกับ แม่สร้อย ทำให้ ก๊ะส้อ เลยรู้สึกประทับใจมากที่แม่สร้อยเป็นกันเอง ยอมรับเขาเป็นเพื่อน ไม่ถือตัว ไม่เหมือนคนอื่น ๆ ก๊ะส้อบอกว่า ไปมาหลายที่ แต่ไม่มีที่ไหนที่น่าประทับใจเท่าที่นี่เลย
ก๊ะส้อ อยากตอบแทนน้ำใจ แต่ไม่มีอะไรจะให้ ครอบครัวก๊ะส้อค่อนข้างลำบาก ต้องเลี้ยงดูลูกถึง 9 คน แต่ ก๊ะส้อ บอกว่ามีไม้จะให้ ให้พ่อเล็กกับแม่สร้อยไปเอาที่ เขื่อนหัวข้าง บ้านของก๊ะส้อ
หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ แม่สร้อยชวนพ่อเล็กไปดูไม้ที่บ้านบังโสบ (สามีของก๊ะส้อ) ไปถึงก็เห็นไม้วางอยู่ 5 แผ่น ด้วยความเกรงใจแม่สร้อยเลยเอามาแค่ 2 แผ่น ก๊ะส้อไม่คิดเงิน แต่แม่สร้อยวางเงินไว้ โดยไม่บอกก๊ะส้อ และนำไม้กลับมาที่บ้าน
เป็นเวลา 3 ปี ที่แผ่น 2 แผ่นนั้นว่งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร
อยู่มาวันหนึ่ง มีกิจกรรมอบรมที่ศูนย์การเรียนรู้ฯ ผู้เข้าอบรมชื่อ ปลื้ม จันทุง หรือ ลุงปลื้ม เป็นผู้ที่ชื่นชอบไม้เหมือนกัน จึงอาสารับจ้างนำไม้ 2 แผ่นที่เก็บไว้นาน 3 ปี ไปทำเป็นโต๊ะไม้ ในราคาชุดละ 10,000 บาท จำนวน 2 ชุด และยังให้โต๊ะไม้อีกชุดด้วย
ที่มานกอินทรีย์
นกอินทรีย์ อายุยาวนานถึง 70 ปี อายุยาวนานนั้นผ่านอะไรมาบ้าง เมื่อมันอายุ 40 ปี กรงเล็บจะยาว ทำให้ยากต่อการเกาะกิ่งไม้ ชะงอยปากจะหนา ยากต่อการล่าเหยื่อ ปีกปกคลุมไปด้วยขนที่หนา ทำให้น้ำหนักตัวมาก บินลำบาก
มันจึงเดินทางมาถึงทางเลือกแห่งชีวิต 2 ทาง
-
รับสภาพ ผอมและอดตาย
-
ยอมเจ็บปวด เพื่อพัฒนาตนเอง และบินขึ้นสู่ยอดเขากลับสู่รังของมัน
มันจะเริ่มต้นจากการเอาชะงอยปากตัวเองเคาะกับผาหินที่แหลมคม เคาะซ้ำแล้วซ้ำอีก จนชะงอยปากหลุดออก และรอเวลาที่ชะงอยปากอันใหม่ที่สวยงามและแข็งแรงก็งอกขึ้นมาแทนที่
ส่วนเล็บที่ยาวนั้น มันก็เคาะกับโดขดหิน ทีละเล็บ ๆ ทนเจ็บปวด ใช้เวลาในการทำเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง จนเล็บเก่าหลุดออก เล็บใหม่งอกขึ้นมาอย่างสวยงาม
หลังจากนั้นก็เริ่มจิกดึงขนปีกของตนเองออกทีละเส้น ๆ พอขนเก่าหลุดออกขนใหม่ก็ขึ้นมาแทน การทำแบบนี้จะต้องใช้เวลาที่ยาวนานและต้องทนทรมานกับความเจ็บปวด มีนกอินรีย์จำนวนไม่น้อยที่ทำไม่สำเร็จแล้วต้องตายไปแต่หากตัวใดทำสำเร็จรางวัลที่ได้รับ คือ ชะงอยปากที่สวยงาม คมกริบ กรงเล็บแหลมคมพร้อมใช้งานปีกและขนที่สวยงามเบา ดวงตาคม พร้อมที่จะบินขึ้นฟ้า และมีชีวิตอย่างสง่างามไปอีกไม่น้อยกว่า 30 ปีเปรียบเสมือนความแข็งแกร่งของ “ผู้นำ” เครือข่ายสินธุ์แพรทองของเรา 18 ปี กับการขับเคลื่อนงานตามแผนยุทธศาสตร์ ผู้นำผลัดขนมาแล้ว 3ครั้งมีผู้ที่ไม่ยอมพัฒนาหลุดจากขบวนการไปไม่น้อย และมีผู้นำอีกไม่น้อยเช่นกันที่เข้าสู่การพัฒนา แต่ทนกับความความเจ็บปวดในการต่อสู้กับความคิดของตนเองไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ผู้นำที่ผ่านการทดสอบ ผ่านเตาหลอมที่ใช้อุณภูมิความร้อนสูง พร้อมเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงก็มีมากมาย ผู้นำผลัดขน 3 ครั้ง
-
ครั้งที่ 1 ปี 2547 สูญเสียผู้นำไป 2 คน
-
ครั้งที่ 2 ปี 2550 สูยเสียผู้นำ ไป 3 คน
-
ครั้งที่ 3 ปี 2558 สูยเสียผู้นำ ไป 4 คน
สัญลักษณ์ “นกอินทรีย์” ด้านหน้าศูนย์ฯ จึงเสมือนสิ่งย้ำเตือนจิตใจของชุมชน คนทำงาาน ให้มีความมุ่งมั่น จริงจัง อดทน และเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลง พัฒนาตนเองอยู่เสมอ



